กริยา 3 ช่อง จำได้แม่น! รวมกฎและข้อยกเว้น

กริยา 3 ช่องนั้นคือ ชุดคำกริยาภาษาอังกฤษที่มีอยู่ 3 ช่อง 3 รูปแบบ ซึ่งเป็นคำเรียกในภาษาไทยนะ ส่วนภาษาอังกฤษจะเป็นหลักการใช้คำกริยาตาม Tense เท่านั้นเอง

อาจจะมีหลาย ๆ คนยังไม่ทราบกันว่า กริยา 3 ช่องนั้นคืออะไร ก็สามารถตอบแบบตรง ๆ ได้เลยว่ามันเป็นชุดคำกริยาภาษาอังกฤษที่มีอยู่ 3 ช่อง 3 รูปแบบ เขาเลยเรียกมันว่ากริยาสามช่อง ซึ่งเป็นคำเรียกในภาษาไทยนะ ส่วนภาษาอังกฤษจะเป็นหลักการใช้คำกริยาตาม Tense เท่านั้นเอง

 

แล้วทำไปถึงมี 3 ช่อง นั่นก็ เพราะโครงสร้างของแต่ละ Tense ในภาษาอังกฤษนั้นจะไม่เหมือนกัน

เรามาเรียนรู้ในเรื่องของกริยา 3 ช่องกัน

เอ๊ะ อาจจะฟังดูแล้วยังงง ๆ เราแนะนำว่าให้ลองไปอ่านดูและทำความเข้าใจเรื่อง Tense เพิ่มเติมแล้วจะเข้าใจทะลุปรุโปร่ง

กริยา 3 ช่อง ที่ใช้บ่อย รู้ไว้ใช้งานสะดวก

 

ค้นหาคำศัพท์กริยา 3 ช่อง

กดที่ลิงก์นี้เลย เพื่อ ค้นหากริยา 3 ช่อง แบบรายคำ เจอทุกคำ ถ้าไม่เจอแจ้งเราได้ที่เพจ Facebook เลย เดี๋ยวหามาเติมให้

 

กริยา 3 ช่อง คืออะไร

กริยา 3 ช่อง คือ คำกริยาในภาษาอังกฤษ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่อง บ่งบอกถึงเหตุการณ์ในแต่ละช่วงเวลาได้อีกด้วย คำที่ใช้แสดงถึงอาการ เหตุการณ์ และช่วงเวลา คือ คำพูดที่แสดงการกระทำของ ประธานในประโยค หรือคำที่ทำหน้าที่ช่วยคำกริยา หากประโยคขาดคำกริยา ความหมายอาจจะผิดเพี้ยน และไม่สามารถทราบเหตุการณ์ อดีต หรือปัจจุบัน หรืออนาคต ได้เลย เพราะเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ ในทางกลับกัน เราสามารถรู้ว่าเป็นประโยคเหตุการณ์ อดีต หรือปัจจุบัน หรืออนาคต โดยดูจากกริยา ได้อีกด้วย

 

คำกริยา ในภาษาอังกฤษ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

  1. สหกรรมกริยา (Transitive Verb) คือ คำกริยาที่ต้องมีตัวกรรม ถ้าเกิดไม่มีคำอื่นเข้ามา ความหมายจะไม่สมบูรณ์ เช่น The girl is playing a computer game at home. หมายความว่า เด็กผู้หญิงเล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่บ้าน คำว่า “playing” เป็นคำกริยา บอกให้ทราบว่าขณะนี้ กำลังเล่นเกมอยู่ ส่วนคำว่า “game computer” เป็นตัวกรรม หรือตัวทำหน้าที่รองรับคำกริยาให้สมบูรณ์มากขึ้น เพราะถ้าใช้คำว่า Playing อย่างเดียว จะไม่รู้ว่า กำลังเล่นอะไรอยู่
  2. อกรรมกริยา (Intransitive Verb) คือ คำกริยาที่ไม่ต้องมีตัวกรรม เพราะความหมายจะสมบูรณ์อยู่แล้ว เช่น The boy runs in the forest. ประโยคไม่ต้องมีตัวกรรม ก็ทำให้ประโยคสมบูรณ์ เพราะคำว่า “run” แปลว่า วิ่ง ความหมายจึงสมบูรณ์ครบถ้วนไม่ต้องมีตัวมาเติมเต็ม
  3. กริยาช่วย (Helping Verb หรือ Auxiliary Verb) คือ กริยาที่มีหน้าที่ช่วยกริยาด้วยกัน และยังทำให้ตัวของตัวเองมีความหมายสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

หลัก ๆ คือ ในประโยคหนึ่ง ๆ จะมีคำกริยาเข้าไปประกอบ ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของประโยคว่าจะใช้คำกริยาประเภทไหน แต่เพื่อให้เข้าใจได้ว่าประโยคหนึ่งเป็นเหตุการณ์ในช่วงเวลาใด เราจะต้องใช้หลักการของกริยา 3 ช่อง เข้ามาช่วย ดังจะอธิบายต่อไปนี้

 

ช่วงเวลาของกริยา 3 ช่อง

กริยา 3 ช่อง คือ คำกริยาในภาษาอังกฤษ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่อง บ่งบอกถึง เหตุการณ์ ในแต่ละช่วงเวลาได้อีกด้วย

  • กริยาช่องที่ 1 คือ ปัจจุบัน
  • กริยาช่องที่ 2 คือ อดีต
  • กริยาช่องที่ 3 คือ คำกริยาที่ใช้ใน perfect tense ทุกชนิด และ passive voice.

หรือมองแบบหลัก tense จะเป็นแบบนี้

  1. Base Form/Infinitive/Present = ช่อง 1
  2. Simple Past = ช่อง 2
  3. Past Participle = ช่อง 3

 

การแบ่งประเภทกริยา 3 ช่อง

จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

  1. Irregular Verbs (กริยาอปกติ)
  2. Regular Verbs (กริยาปกติ)

 

1. Irregular verbs (กริยาอปกติ)

เรียกง่าย ๆ คือ กริยาที่เปลี่ยนรูปไม่ใช่แค่เติม -ed ซึ่งอันนี้จะเป็นชุดกริยาหลักเลย เพราะถ้าจำได้ทั้งหมด ที่ไม่อยู่ในนี้ก็แค่เติม -ed ในช่องที่ 2 ช่องที่ 3 เท่านั้น เราแบ่งกริยา 3 ช่อง (irregular verbs) ออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้

  1. All 3 forms are similar - ทั้ง 3 ช่อง เหมือนกัน
  2. Infinitive and Simple Past are similar - ช่องที่ 1 และ 2 เหมือนกัน (ต่างกันที่ช่อง 3)
  3. Infinitive and past participle are similar - ช่องที่ 1 และ 3 เหมือนกัน (ต่างกันตรงช่องที่ 2)
  4. Simple Past and past participle are similar - ช่องที่ 2 และ 3 เหมือนกัน (ต่างจากช่องที่ 1)
  5. All 3 forms are different - ทั้ง 3 ช่อง ไม่เหมือนกัน

  มาดูตัวอย่างของกริยา 3 ช่อง แบบต่าง ๆ กันครับ

 

Irregular verbs แบบที่ 1

ทั้ง 3 ช่อง เหมือนกัน

ช่องที่ 1ช่องที่ 2ช่อง 3
costcostcost
cutcutcut
letletlet
putputput
readreadread

 

Irregular verbs แบบที่ 2

ช่องที่ 1 และ 2 เหมือนกัน ต่างกันที่ช่อง 3

ช่องที่ 1ช่องที่ 2ช่อง 3
beatbeatbeaten

 

Irregular verbs แบบที่ 3

ช่องที่ 1 และ 3 เหมือนกัน ต่างกันตรงช่องที่ 2

ช่องที่ 1ช่องที่ 2ช่อง 3
comecamecome
runranrun
becomebecamebecome

 

Irregular verbs แบบที่ 4

ช่องที่ 2 และ 3 เหมือนกัน ต่างจากช่องที่ 1

ช่องที่ 1ช่องที่ 2ช่อง 3
buyboughtbought
catchcaughtcaught
findfoundfound
hanghunghung
sleepsleptslept

 

Irregular verbs แบบที่ 5

ทั้ง 3 ช่อง ไม่เหมือนกัน

ช่องที่ 1ช่องที่ 2ช่อง 3
bewas/werebeen
blowblewblown
choosechosechosen
drinkdrankdrunk
eatateeaten

 

 

2. Regular verbs (กริยาปกติ)

กริยาปกติ = กริยา “ปรกติ” = กริยาผันปกติ

Regular Verbs คือ กิริยา 3 ช่อง ที่มีการเปลี่ยนรูปของคำศัพท์ โดยการเติม -ed เข้าไปข้างหลังคำศัพท์ช่องที่ 1 แล้วได้เป็นคำศัพท์ช่องที่ 2 และ 3 ทันที  


หลักการผันกริยาแบบปกติ (การเติม ed)

การเติม -ed เข้าไปข้างหลังคำศัพท์ช่องที่ 1 แล้วได้เป็นคำศัพท์ช่องที่ 2 และ 3 ทันที แล้วมีหลักเกณฑ์อยู่ 5 ข้อ สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ หลักการผันกริยาแบบปกติ (การเติม ed)


หลักการจำ กริยา 3 ช่อง ง่ายมาก เพียงแค่ให้นึกถึง สูตรคูณคณิตศาสตร์ก็สามารถท่องได้ เพราะหลักของ กริยา 3 ช่อง ส่วนใหญ่ออกเสียงคล้ายกัน เพียงแค่เปลี่ยนนิดหน่อย ซึ่งความหมาย คล้ายกัน ไม่ยากมากขอให้ลองศึกษาดูครับ ^_^

 ข้อมูลน่าสนใจ

  1. กริยา 3 ช่อง คืออะไร?

    กริยา 3 ช่อง คือ ชุดคำกริยาภาษาอังกฤษที่มีอยู่ 3 ช่อง 3 รูปแบบ ซึ่งเป็นคำเรียกที่เข้าใจกันในภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษจะเป็นหลักการใช้คำกริยาตาม Tense เท่านั้นเอง

  2. กริยา 3 ช่อง มีกี่ประเภท?

    มี 2 ประเภท คือ 1. Irregular Verbs (กริยาอปกติ) 2. Regular Verbs (กริยาปกติ)


ข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับกริยา 3 ช่อง

กริยา 3 ช่อง พร้อมคำอ่าน คำแปล มี (PDF) แจกฟรีเรียนกริยา 3 ช่อง คำอ่าน คําแปล ตารางกริยา3ช่อง หลักการใช้ Verb 3 ช่อง แบ่งเป็น verb กริยา ช่องที่ 1 (Present) ช่องที่ 2 (Past) ช่องที่ 3 (Past Participle)

 หมวดหมู่ กริยา 3 ช่อง
ชอบเนื้อหาชุดนี้ กดให้คะแนน 5 ดาวกับเราได้เลยจ้า
จำนวนผู้ให้คะแนน: 1   คะแนนเฉลี่ย: 5.0
 แสดงความคิดเห็น