คำสมาส
วันนี้เราทำความรู้จักกับคำสมาสกัน
คำสมาสคืออะไร
คำสมาส เป็นคำที่เกิดจากการรวมคำสองคำซึ่งต่างก็เป็นคำบาลีหรือสันสกฤตเข้าเป็นคำเดียวกัน โดยการนำมาเรียงต่อกัน ไม่ได้มีการดัดแปลงรูปอักษร มีการออกเสียง อะ อิ อุ ระหว่างคำ เช่น ประวัติ+ศาสตร์ → ประวัติศาสตร์, ฆาต+กรรม → ฆาตกรรม เป็นต้น
สมาสชน สนธิเชื่อม
*ถ้ามีคำใดคำหนึ่งไม่ใช่คำบาลีหรือคำสันสกฤต จะไม่ถือว่าเป็นคำสมาสในทันที
ลักษณะเฉพาะของคำสมาส (แบบย่อ)
โดยย่อ เป็นดังนี้
คำมูลที่นำมารวมกันนั้นต้องเป็นคำที่มาจากภาษาบาลีหรือสันสกฤตเท่านั้น ก่อนรวมเป็นคำสมาส คำหน้าสามารถประวิสรรชนีย์หรือมีตัวการันต์ได้ แต่เมื่อรวมเป็นคำสมาสแล้วต้องตัดทิ้ง เช่น
- แพทย์ + ศาสตร์ = แพทยศาสตร์
- พละ + ศึกษา = พลศึกษา
มีการอ่านสระท้ายของคำหน้า เช่น
- ประวัติ+ศาสตร์ = ประวัติศาสตร์ (ประ-หวัด-ติ-สาด) แต่ก็มียกเว้นเช่น สุพรรณบุรี
การแปลต้องแปลจากหลังมาหน้า (คำตั้งอยู่หลังคำขยายอยู่หน้า) เช่น
- ราชการ การ เป็นคำตั้ง ราช ขยายการ = งานของพระเจ้าแผ่นดิน
- อุบัติเหตุ เหตุ เป็นคำตั้ง อุบัติ ขยายเหตุ = เหตุการณ์ที่กิดโดยไม่คาดคิด
แต่ก็มีคำสมาสบางคำที่แปลจากหลังไปหน้า และหน้าไปหลังได้ถ้ามีความหมายเหมือนกัน ก็ถือเป็นคำสมาส เช่น
- บุตร + ธิดา = บุตรธิดา ไม่ว่าจะแปลจากหลังไปหน้าหรือหน้าไปหลัง ก็แปลว่า ลูก เหมือนกัน
คำที่ขึ้นต้นด้วย "พระ" แล้วคำหลังเป็นภาษาบาลีหรือสันสกฤตถือว่าเป็นคำสมาส เช่น
- พระอาทิตย์
- พระองค์
*พระเจ้า ไม่ใช่คำสมาสเพราะ เจ้า เป็นคำไทยแท้
ลักษณะของคำสมาส (แบบละเอียด)
โดยละเอียด เป็นดังนี้
- เป็นคำที่มาจากภาษาบาลี - สันสกฤตเท่านั้น คำที่มาจากภาษาอื่น ๆ นำมาประสมกันไม่นับเป็นคำสมาส ตัวอย่าง - บาลี + บาลี เช่น อัคคีภัย วาตภัย โจรภัย อริยสัจ ขัตติยมานะ - สันสกฤต + สันสกฤต เช่น แพทยศาสตร์ วีรบุรุษ วีรสตรี สังคมวิทยา - บาลี + สันสกฤต, สันสกฤต + บาลี เช่น หัตถศึกษา นาฎศิลป์ สัจธรรม
- คำที่รวมกันแล้วไม่เปลี่ยนแปลงรูปคำแต่อย่างใด ตัวอย่าง วัฒน + ธรรม = วัฒนธรรม สาร + คดี = สารคดี พิพิธ + ภัณฑ์ = พิพิธภัณฑ์ กาฬ + ปักษ์ = กาฬปักษ์ ทิพย + เนตร = ทิพยเนตร โลก + บาล = โลกบาล เสรี + ภาพ = เสรีภาพ สังฆ + นายก = สังฆนายก
- คำสมาสเมื่อออกเสียงต้องต่อเนื่องกัน เช่น ภูมิศาสตร์ อ่านว่า พู-มิ-สาด เกียรติประวัติ อ่านว่า เกียด-ติ-ประ-หวัด เศรษฐการ อ่านว่า เสด-ถะ-กาน รัฐมนตรี อ่านว่า รัด-ถะ-มน-ตรี
- คำที่นำมาสมาสกันแล้วความหมายหลักอยู่ที่คำหลังส่วนความรองจะอยู่ข้างหน้า เช่น ยุทธ (รบ)+ภูมิ (แผ่นดิน สนาม) = ยุทธภูมิ (สนามรบ) หัตถ (มือ) + กรรม (การงาน) = หัตถกรรม (งานฝีมือ) คุรุ (ครู) + ศาสตร์ (วิชา) = คุรุศาสตร์ (วิชาครู) สุนทร (งาม ไพเราะ) + พจน์ (คำกล่าว) = สุนทรพจน์ (คำกล่าวที่ไพเราะ)
- คำสมาสบางคำเรียงลำดับคำอย่างไทย คือ เรียงต้นศัพท์ไว้หน้า ศัพท์ประกอบไว้หลัง การเขียนคำสมาสเหล่านี้ไม่ประวิสรรชนีย์ระหว่างคำ แต่เมื่ออ่านจะออกเสียงสระต่อเนื่องกัน เช่น บุตรภรรยา (บุด-ตระ-พัน-ระ-ยา) = บุตรและภรรยา
- คำสมาสส่วนมากออกเสียงสระตรงพยางค์ท้ายของคำหน้า เช่น กาลสมัย ( กาน - ละ - สะ - ไหม )
- คำบาลีสันสกฤตที่มีคำว่า "พระ" ที่แผลงมาจาก "วร" ประกอบข้างหน้าจัดเป็นคำสมาสด้วย เช่น พระโอรส พระอรหันต์
- คำสมาสบางพวกจะมีลักษณะรูปคำรูปหนึ่งคล้ายกัน เช่น - คำที่ลงท้ายด้วยศาสตร์ เช่น นิติศาสตร์ อักษรศาสตร์ - คำที่ลงท้ายด้วยภัย เช่น อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย - คำที่ลงท้ายด้วยกรรม เช่น นิติกรรม นวัตกรรม กสิกรรม